วันนี้ WeAreCharming ขอนำเสนอบทความหนึ่งจากเว็บไซต์ https://www.adaymagazine.com ซึ่งเขียนบทความและสัมภาษณ์โดยคุณณัฏฐา ภู่อนุสรณ์ชัย บทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวกับ "นักปรุงน้ำหอม" หรือภาษาอังกฤษใช้ศัพท์ว่า (Perfumer) ซึ่งคุณณัฏฐา ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับนักปรุงน้ำหอมชาวไทยท่านหนึ่ง รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย
น้ำหอมเป็นศิลปะที่แสดงเอกลักษณ์ของใครหลายคนได้ บางคนอาจเดินมาพร้อมกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ ขณะที่อีกคนกลับพกกลิ่นสดชื่นจากท้องทะเลมาด้วย แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่ากว่าจะได้น้ำหอมมาแต่ละกลิ่นเพื่อบรรจุลงขวดสวยงามหรูหรา บุคคลผู้อยู่เบื้องหลังอย่างนักทำน้ำหอมต้องผ่านอะไรมาบ้าง เรามีโอกาสได้นั่งคุยกับ เคนจิ-ฉัตรนิธิศวร์ จันทาพูน เจ้าของแบรนด์น้ำหอมของไทยอย่าง Artisan Valley เพื่อทำความรู้จักกับอาชีพนักทำน้ำหอมให้ดียิ่งขึ้น
อาชีพที่ต้องแลกมาด้วยความอุตสาหะ
ที่ประเทศฝรั่งเศส กว่าจะเป็น Perfumer ได้ ต้องเรียนเพื่อสอบเป็น Junior Perfumer ก่อน แล้วทำงาน 8 ปี จึงสอบเลื่อนขั้นไปเป็น Senior Perfumer จากนั้นก็ทำงานอีก 8 ปี กว่าจะสอบเลื่อนขั้นไปเป็น Perfumer มืออาชีพ (Professional Perfumer) โดยมีสถาบันศึกษาที่มีชื่อเสียงอย่าง Givaudan, International Flavors & Fragrances และ ISIPCA เป็นผู้รับรอง ส่วนคนที่เรียนทำน้ำหอมเองจากความหลงใหลจะไม่เรียกตัวเองว่าเป็น Perfumer เพราะถือเป็นการให้เกียรติคนที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง ส่วนที่ไทยยังไม่มีสาขาวิชาไหนสอนเรื่อง Perfumer โดยเฉพาะ
ศิลปะจากการใช้ชีวิต
การปรุงน้ำหอมคือการบอกเล่าเรื่องราว น้ำหอมที่ดีจะทำให้คนที่ดมรู้สึกหรือเห็นอะไรบางอย่าง ไม่ใช่แค่หอมหรือไม่หอม หากเราไม่เคยออกไปใช้ชีวิต เราจะไม่มีเรื่องน่าสนใจมาเล่าเลย เราต้องรู้จักออกเดินทางและสนใจสิ่งรอบข้าง หากจะทำน้ำหอมกลิ่นเรือยอร์ช เราก็จะต้องออกไปนั่งเรือยอร์ชจริงๆ จะลงมือทำน้ำหอมโดยที่ไม่มีประสบการณ์ไม่ได้
ส่วนผสมของศาสตร์และศิลป์
น้ำหอมเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ นักทำน้ำหอมต้องมีทั้งสุนทรียะในการเล่าเรื่องผ่านกลิ่นและการทดลองผสมน้ำมันหอมระเหย (สารที่สกัดได้จากวัตถุดิบต่างๆ เช่น ดอกกุหลาบและส้ม) หลากกลิ่นเข้าด้วยกัน ก่อนอื่นเราต้องตีโจทย์ให้แตกว่าแต่ละกลิ่นให้ความรู้สึกอะไร สื่ออะไรได้บ้าง หนักเบายังไง และที่สำคัญคือร้อยเรียงไปกับกลิ่นไหนได้บ้าง จากนั้นก็ทดลองผสมกลิ่นไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะสื่อเรื่องที่เราจะเล่าได้ นักทำน้ำหอมแต่ละคนจะตีความลักษณะกลิ่นนั้นๆ ต่างกันไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้น้ำหอมเป็นเอกลักษณ์ เหมือนเป็นนามปากกาประจำตัว
ดอกกุหลาบของช่างตีเหล็ก
น้ำหอม Smith’s Rose ของ Artisan Valley เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเล่าเรื่องราว น้ำหอมกลิ่นนี้มาจากตัวละครเอลฟ์ ช่างตีเหล็กในนิยายเรื่องหนึ่ง เมื่อเหนื่อยและท้อจากการทำงาน เขาก็ได้หยิบดอกกุหลาบขึ้นมาดมเพื่อผ่อนคลาย จากนั้นเขาก็หยิบเอาส่วนหนึ่งจากนิยายนั้นมาเป็นคำบรรยายน้ำหอม
กลิ่นที่มีราคาและคุณค่า
วัตถุดิบที่นำมาทำน้ำหอมมีราคาแตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบที่สกัดได้จากสารเคมีราคา 10 บาท ไปจนถึงวัตถุดิบราคาหลักล้านอย่าง Ambergris (อำพันทะเล) ที่สกัดจากอ้วกของวาฬอายุนับร้อยปี กลิ่นของ Ambergris นั้นเหนือจินตนาการและต่างกันไปตามการเกิด ไม่สามารถผลิตซ้ำได้ วัตถุดิบใกล้ตัวในบ้านเรา เช่น ดอกลั่นทมและไม้กฤษณาก็แพงกว่าลาเวนเดอร์เกือบร้อยเท่า แต่บ้านเราดันต้องนำเข้าน้ำหอมกลิ่นเหล่านี้จากต่างประเทศ ทำให้ไทยเสียดุลการค้าโดยไม่จำเป็น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเรายังขาดคนทำน้ำหอมและความรู้เรื่องน้ำหอมอยู่
ความกล้าจากความหลงใหล
ถึงวงการน้ำหอมในบ้านเราจะยังไม่ใหญ่โตและมั่นคง แต่ก็มีนักทำน้ำหอมหลายคนที่หลงใหลและสนใจในการทำน้ำหอมเป็นอาชีพ ถึงขนาดยอมกล้าเสี่ยงลองทำน้ำหอมโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้รับการยอมรับหรือไม่ ความกล้าที่จะใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่ตัวเองชอบแบบนี้เป็นสิ่งที่นักทำน้ำหอมหลายคนภูมิใจอยากส่งต่อให้เด็กรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก
ขอขอบคุณ : A Day Online, บทความดีๆจากคุณณัฏฐา ภู่อนุสรณ์ชัย, รูปภาพจาคุณกกฤต วิเศษเขตการณ์
We have 362 guests and no members online